น้ำตาลในเลือดสูง ภัยคุกคามผู้ป่วยเบาหวาน และวิธีดูแลตนเอง
น้ำตาลในเลือดสูง...มหันตภัยเงียบของผู้ป่วยเบาหวาน
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพ เพราะหากปล่อยปละละเลยจนน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะนำมาซึ่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ผลเสียระยะสั้นจากน้ำตาลในเลือดสูง
อาการเฉียบพลันที่รบกวนชีวิตประจำวัน ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หิวบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนภาวะฉุกเฉินที่อาจถึงแก่ชีวิต หากระดับน้ำตาลสูงมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (DKA) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชนิดรุนแรง (HHS) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ผลเสียระยะยาวภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต
ระดับน้ำตาลที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา เช่น
โรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
โรคไต (เบาหวานลงไต) หลอดเลือดเล็กๆ ในไตถูกทำลาย ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ภาวะไตเสื่อมและไตวายในที่สุด
โรคตา (เบาหวานขึ้นตา) หลอดเลือดในจอประสาทตาถูกทำลาย ทำให้เกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นและตาบอดได้
โรคระบบประสาท (ปลายประสาทเสื่อม) เส้นประสาทถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการชา เจ็บแปลบ หรือปวดแสบร้อนบริเวณมือและเท้า นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น การย่อยอาหาร การควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
แผลหายยากและการติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดสูงทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี และระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณเท้า ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดเท้าได้
ปัญหาผิวหนัง ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ผิวแห้ง คัน และติดเชื้อราได้ง่าย
โรคกระดูกและข้อ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนปัญหาทางทันตกรรม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเหงือกและฟันผุดูแลตัว
ดูแลตัวเองอย่างไร? ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่หมัด!
นอกเหนือจากการรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การควบคุมอาหาร (Dietary Management)
เลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index - Low GI): อาหารเหล่านี้จะถูกย่อยและดูดซึมช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆ สูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียว ผลไม้สด (ที่ไม่หวานจัด) ถั่ว และเมล็ดพืช
- ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานมีผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อกำหนดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ
- เน้นผักและผลไม้ ผักและผลไม้มีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสูง ควรเลือกรับประทานผักให้หลากหลาย และเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัดในปริมาณที่เหมาะสม
- เลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้ และถั่วต่างๆ
- จำกัดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ พบได้ในอาหารทอด อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้สำเร็จรูป และเครื่องดื่มชูกำลัง
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ช่วยในการทำงานของไตและรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
- รับประทานอาหารให้เป็นเวลา การรับประทานอาหารในเวลาที่สม่ำเสมอช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Exercise)
- เลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยแบ่งเป็นครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (เช่น ยกเวท) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็มีประโยชน์ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน หรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ
การติดตามระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (Self-Monitoring of Blood Glucose - SMBG)
- เรียนรู้วิธีการตรวจน้ำตาลด้วยตนเอง แพทย์หรือพยาบาลจะสอนวิธีการใช้เครื่องตรวจน้ำตาลที่บ้านอย่างถูกต้อง
- ตรวจน้ำตาลตามคำแนะนำของแพทย์ ความถี่ในการตรวจขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวาน แผนการรักษา และระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ
- บันทึกผลการตรวจ การบันทึกผลจะช่วยให้คุณและแพทย์เห็นแนวโน้มของระดับน้ำตาล และปรับแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
- รู้จักเป้าหมายระดับน้ำตาล ปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดเป้าหมายระดับน้ำตาลก่อนอาหาร หลังอาหาร และก่อนนอน
การจัดการความเครียด (Stress Management)
- เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียด ความเครียดสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ลองใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึกๆ การออกกำลังกายเบาๆ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การดูแลเท้า (Foot Care)
- ตรวจเท้าทุกวัน มองหารอยแผล ตุ่มพอง รอยแดง หรือความผิดปกติอื่นๆ
- ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ เช็ดเท้าให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว
- ทาโลชั่นบำรุงผิว เพื่อป้องกันผิวแห้งและแตก แต่หลีกเลี่ยงการทาบริเวณซอกนิ้ว
- สวมถุงเท้าที่สะอาดและนุ่ม และสวมรองเท้าที่พอดี ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า
- หากพบความผิดปกติที่เท้า ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน (Oral Hygiene)
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
- พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน