โรคหอบหืดรักษาหายไหม?
คำถามที่มักพบบ่อยจากคนที่เป็นโรคหอบหืด บางคนมีอาการหลายปี รักษาจนท้อ ก็ยังไม่ดีขึ้น ขาดความเข้าใจในโรค การใช้ยา และการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี จนโรคกำเริบหนักและเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต บทความนี้จะกล่าวถึงเนื้อหา โรคหอบหืดสามารถรักษาหายได้ รักษาอย่างไรให้อาการหอบหืดไม่กลับมาเป็นอีก รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองจากโรคหอบหืดอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ
"โรคหอบหืด" เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ และสามารถรักษาโรคหอบหืดให้หายได้ โรคหอบหืดหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตสูง โรคนี้เกิดจากภาวะหลอดลมอักเสบ และไวต่อสิ่งกระตุ้นมากผิดปกติ ทั้งจากการสารก่อภูมิแพ้ การติดเชื้อ หรือมลพิษทางอากาศ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมหดเกร็ง ตีบแคบเป็นพักๆ ทำให้เกิดอาการไอ หอบเหนื่อย หายใจลำบากตามมา อาการได้แก่ ไอเป็นชุดๆ แน่นหน้าอก หายใจหอบ เสียงดังวี้ด มักมีอาการหลังได้รับสิ่งกระตุ้น มลพิษทางอากาศ สารก่อภูมิแพ้ ติดเชื้อไวรัส หรือออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมกับโรค หรือออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป
ปัจจัยแวดล้อมเกิดขึ้นได้ทั้งจากทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย หากครอบครัวมีประวัติหรือผู้ป่วยมีภาวะโรคพบร่วม อย่างภาวะนอนกรนจนอุดกั้นทางเดินหายใจ โรคอ้วน และ อาการภูมิแพ้ รวมถึงสิ่งกระตุ้นให้อาการหอบกำเริบ เช่น ฝุ่นละอองในอากาศ PM 2.5 ฝุ่นละอองตามบ้านเรือน ควันบุหรี่ ขนสัตว์ เชื้อรา แมลงสาบ ละอองเกสรดอกไม้ สารเคมีที่มีกลิ่นแรง น้ำหอม สเปรย์ทำความสะอาดต่างๆ เป็นต้น ล้วนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหืดได้
“การรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดไม่ใช่รักษาเฉพาะโรคหอบหืดอย่างเดียว แต่จะรักษาโรคร่วม เช่น ภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไซนัส ไอเรื้อรัง ภาวะนอนกรน กรดไหลย้อน ภาวะอ้วน โรคเหล่านี้ทำให้โรคหอบหืดคุมอาการยาก”
ขณะที่ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหอบหืดเป็นอาการเรื้อรัง รักษาไม่หาย ทำให้ขาดความสม่ำเสมอในการใช้ยา ที่ปกติคนไข้จะมียาติดตัว 2 ประเภท คือ
1.ยาควบคุม
เช่น ยาสเตียอรยด์ชนิดพ่นสูด ยาต้านลิวโคไตรอีน สำหรับใช้ระยะยาว ช่วยให้ลดหลอดลมอักเสบและหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้ลดอาการหอบกำเริบ และสมรรถภาพปอดดีขึ้น
2.ยาฉุกเฉิน
เช่น ยาขยายหลอดลมที่ออกฤทธิ์เร็ว (short-acting or rapid action beta2- agonist) ใช้ในกรณีที่มีอาการหอบกำเริบ ช่วยขยายหลอดลม
แต่ในความเป็นจริง "โรคหอบหืด" สามารถรักษาหาย ยิ่งรักษาเร็วและต่อเนื่องยิ่งมีโอกาสหายสูง โดยในเด็กมีโอกาสหายมากกว่าร้อยละ 50 ส่วนผู้ใหญ่และผู้สูงวัยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงกว่าเด็กและพ่นยาได้ยากกว่า เพราะบางคนชินกับอาการจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคหอบหืด
ที่สำคัญการรักษาด้วยการใช้ยาสเตียรอยด์สูดพ่นต้องสม่ำเสมอเป็นประจำไม่ว่าจะแสดงอาการหรือไม่แสดงก็ตาม และต้องสามารถปรับลด/เพิ่มขนาดของยาตามผลการรักษาโรคได้เหมือนโรคเรื้อรังทั่วไป เช่น เบาหวาน ความดัน ไม่แนะนำให้หยุดยารักษาโรคหอบหืดด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้อาการกำเริบได้
วิธีดูแลตัวเองจากโรคหอบหืด
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด เพื่อควบคุมอาการ ป้องกันการกำเริบ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีแนวทางในการดูแลตัวเองดังนี้
1. ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด:
- ใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ: ทั้งยาควบคุมอาการ (ใช้ทุกวันเพื่อป้องกันการอักเสบของหลอดลม) และยาบรรเทาอาการ (ใช้เมื่อมีอาการหอบกำเริบ) ตามที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้องและถูกวิธี
- เรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์พ่นยา: หากไม่แน่ใจวิธีการใช้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- พบแพทย์ตามนัดหมาย: เพื่อติดตามอาการ ปรับยา และประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- อย่าปรับหรือหยุดยาเอง: โดยไม่ปรึกษาแพทย์ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
2. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น:
- สารก่อภูมิแพ้ในบ้าน:
- ไรฝุ่น: หมั่นทำความสะอาดห้องนอน เครื่องนอน ผ้าม่าน พรม อย่างสม่ำเสมอ ซักด้วยน้ำร้อน ตากแดดจัด หรือใช้ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น
- ขนสัตว์: หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขน หรือจำกัดบริเวณไม่ให้เข้าห้องนอน และทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ
- เชื้อรา: ควบคุมความชื้นในบ้าน ทำความสะอาดห้องน้ำและบริเวณที่มีความชื้นสูง
- แมลงสาบ: กำจัดแมลงสาบและแหล่งที่อยู่อาศัย
- สารก่อภูมิแพ้ภายนอกบ้าน:
- ละอองเกสรดอกไม้ หญ้า: หลีกเลี่ยงการออกไปในที่มีละอองเกสรมากในช่วงที่มีการแพร่กระจาย หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัย
- ฝุ่นละออง: สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่มีฝุ่นมาก โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5
- สิ่งระคายเคือง:
- ควันบุหรี่: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และควันบุหรี่มือสอง
- มลพิษทางอากาศ: หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีมลพิษสูง หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัย
- สารเคมีและกลิ่นแรง: เช่น น้ำหอม สเปรย์ สารทำความสะอาด
- สภาพอากาศ:
- อากาศเย็น: หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นจัด สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น
- อากาศชื้น: ควบคุมความชื้นในบ้าน
- การติดเชื้อทางเดินหายใจ:
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และวัคซีนอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
- อื่นๆ:
- การออกกำลังกาย: เลือกการออกกำลังกายที่ไม่กระตุ้นอาการหอบ และอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย หากจำเป็นอาจต้องใช้ยาพ่นขยายหลอดลมก่อนออกกำลังกาย
- ความเครียดและอารมณ์รุนแรง: พยายามจัดการความเครียดและควบคุมอารมณ์
- ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
3. ติดตามอาการของตนเอง:
- สังเกตอาการ: บันทึกความถี่ ความรุนแรงของอาการ และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ
- ใช้เครื่องวัดสมรรถภาพปอด (Peak Flow Meter): ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อติดตามการทำงานของปอดด้วยตนเอง และรู้สัญญาณเตือนของการกำเริบ
- รู้สัญญาณเตือนของการกำเริบ: หากมีอาการแย่ลง หรือใช้ยาบรรเทาอาการแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
4. ดูแลสุขภาพโดยทั่วไป:
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: เพื่อช่วยให้เสมหะไม่เหนียวข้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและไม่กระตุ้นอาการหอบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ:
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: หากมีน้ำหนักเกินหรืออ้วน อาจทำให้อาการหอบหืดแย่ลง
การดูแลตัวเองอย่างดี ควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมโรคหอบหืดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีครับ
**อ้างอิงเนื้อหาจากบทความบางส่วนในเว็บไซต์ของ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/may-2021/world-asthma-day-2021